เทศน์บนศาลา

กิเลสพาใจคด

๗ พ.ค. ๒๕๔๘

 

กิเลสพาใจคด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมนะ เรามีวาสนามาก เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนลงที่ความสุข ถ้าหัวใจมีความสงบจะมีความสุข เราพยายามหาความสุขกัน เราต้องหาความสงบของใจ สิ่งที่จะหาความสงบของใจ ใจอยู่ที่ไหน? ใจอยู่กับเรา ใจอยู่กับเรานะ แต่ใจตัวนี้มันเป็นความคิดส่งออก ความคิดเราเกิดขึ้นมา ความคิดของเราส่งออกไปทั้งหมดเลย เราเป็นชาวพุทธ แต่เราไปเอาเป็นชาวพุทธโดยที่ว่าเราเอาบุญกุศลจากภายนอก ถ้าเราหาบุญกุศลจากภายนอกนะ สิ่งที่ภายนอกเป็นอามิส สิ่งนี้เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ การสละกัน ให้กันมา สิ่งนี้ที่มีอยู่

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดา เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็รู้จักพระธรรม แล้วเผยแผ่ธรรมมาไง จนมีคฤหัสถ์ มีความเชื่อความศรัทธา ตั้งแต่ปัจจวัคคีย์ออกมา พระอัญญาโกณฑัญญะออกประพฤติปฏิบัติ ได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นพระสงฆ์ เห็นไหม สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นสิ่งที่เราได้ทำบุญกุศลกับสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สืบเชื้อไขมาจนถึงในปัจจุบันนี้ไง

ถ้าเราเห็นการประพฤติของสงฆ์ที่ไม่สมควรแก่สมณสารูป เราจะทำบุญกุศลของเรา เราก็นึกถึงว่าเราถวายสิ่งนี้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่สงฆ์สาวกที่มาบิณฑบาต มาผ่านสิ่งที่เราต้องทำถวายทานนี้ สิ่งนี้เป็นผู้สื่อไปเท่านั้น สิ่งที่การประพฤติปฏิบัติจากสาวกผู้ที่ได้ยินได้ฟังจนถึงเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญของโลก คือสาวก-สาวกะประพฤติปฏิบัติจนจิตนี้เป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจ จนเป็นเนื้อนาบุญของเรา

เราเป็นชาวพุทธ เรานึกถึงพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง สิ่งนี้เป็นที่พึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกอยู่ที่วัด เราถึงเวลาเราทำบุญกุศลกัน เราถึงหาสิ่งที่ว่าเป็นบุญกุศลจากภายนอกไง เราเป็นชาวพุทธ ในเมื่อเราหาบุญกุศลจากภายนอก เราได้ทำบุญกุศลจากพระสงฆ์ พระสงฆ์แสดงธรรม แสดงธรรมให้เราฟัง สิ่งที่เราฟัง เราเป็นชาวพุทธขึ้นมา ชาวพุทธที่สิ่งที่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมอันนี้จะเข้ามาเปิดตาของใจ เปิดตาของใจให้เรามีศรัทธา มีความเชื่อ แล้วเราออกประพฤติปฏิบัติ

ที่ว่า “ความสงบของใจ” สิ่งที่เป็นความสุขมหาศาลเกิดจากใจของเรานี้มีความสงบร่มเย็นในหัวใจของเรา แต่ถ้าเราไม่มีความสงบร่มเย็นในหัวใจของเรา ใจนี้มันส่งออกนะ แม้แต่ภิกษุบวชเป็นพระนี่แหละ บวชเป็นพระ บวชแต่ร่างกาย เป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์นี้เพื่อจะค้นคว้าหาความสงบของใจให้ได้ก่อนไง นี่กิเลสมันไม่ไว้หน้าหรอก ไม่ใช่พระสงฆ์ ไม่ใช่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ไว้หน้าใครเลย กิเลสนี้ไม่ไว้หน้าใคร กิเลสนี้ทำให้มีเจ้าอำนาจบาตรใหญ่ในหัวใจ แล้วทำหัวใจให้ฟุ้งซ่านออกไปจากภายนอก แล้วเราถ้ามีกิเลสบังตาไง เราก็คิดว่าเราเป็นชาวพุทธ เราก็ทำสมกับที่เป็นชาวพุทธแล้ว เราก็ทำบุญกุศล เราก็สวดมนต์สวดพรของเรา เราก็ประพฤติปฏิบัติตามประสาที่ว่าเราชาวพุทธ แต่เราไม่ได้ความร่มเย็นของใจ

ถ้าเราจะได้ความร่มเย็นของใจ เราถึงเป็นชาวพุทธที่ว่าเราออกประพฤติปฏิบัติ เราค้นคว้าหาหัวใจของเรา ถ้าเราค้นคว้าหาหัวใจของเรานะ สิ่งที่เป็นหัวใจของเรา ดูสิ ในสุภาษิต “มือถือสากปากถือศีล” มันเห็นๆ กันไง สิ่งที่เห็นคือเขาทำความผิด “ปากถือศีล” ก็ว่าประพฤติปฏิบัติ เราอยู่ในร่มโพธิ์ร่มไทรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การประพฤติปฏิบัติ การกระทำของเรา เขาบอกมันเปรียบเทียบให้เห็นไงว่ามือถือสาก สิ่งที่ถือสากเพราะมันทำตรงกันข้ามกับหลักศีลธรรม สิ่งที่ทำตรงกันข้ามกับหลักศีลธรรม นี่หัวใจมันคดโกง โกงเป็นอย่างนั้น กิเลสมันมีอำนาจใหญ่บาตรใหญ่ขนาดนั้นนะ ทำให้เราผู้ที่ว่าเราประพฤติปฏิบัติ เราเป็นชาวพุทธ ออกประพฤติ ออกการกระทำออกไป จนกลับมาย้อนเป็นสุภาษิตออกมาได้

สิ่งนี้เพราะอะไรล่ะ เพราะกิเลสมีอำนาจบาตรใหญ่ไง มีอำนาจในหัวใจของเรา สิ่งที่กระทำของเรา เราก็คิดว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้องนะ ทำอย่างนี้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทำนองคลองธรรมของกิเลสไง สิ่งที่กิเลสตัณหามันคิดของมัน มันกระทำของมันออกไป นี้เป็นคฤหัสถ์นะ แล้วถ้าเป็นพระล่ะ มือถือคัมภีร์นะ ปากแสดงธรรม มือถือคัมภีร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเราแสดงธรรม เราแสดงธรรม นี่สิ่งที่แสดงธรรมออกไป แต่มันเป็นการกระทำ สิ่งนี้มันย้อนรอยไง ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าครูบาอาจารย์ของเรานะ สิ่งใดที่เป็นของจริง มันจะมีของปลอมเปรียบเทียบไง

ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นของจริงไม่มี ถ้าในเมื่อของจริงยังไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกค้นคว้านะ ค้นคว้าศึกษาจากเจ้าลัทธิต่างๆ เพื่อจะเห็นของจริง แต่ของจริงมันไม่มี สิ่งที่ไม่มีเลย เขาก็เสมอกันโดยความจอมปลอมไง เจ้าลัทธิต่างๆ ในสมัยพุทธกาลปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา เป็นผู้สั่งสอนธรรม แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติกับเขาแล้ว สิ่งนั้นเป็นสิ่งอาการของโลกเขา สมถกรรมฐาน สิ่งที่เป็นสมถะเฉยๆ เป็นความสงบของใจ สิ่งที่เป็นความสงบของใจแต่ไม่ได้ชำระกิเลส พอมันเสื่อมออกมา มันคลายตัวออกมา มันก็กิเลสเหมือนเดิม นี่เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธสิ่งนั้นหมดนะ

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองไข่ของอวิชชาออกมา เห็นไหม ถึงบอกว่าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ สิ่งนี้เป็นของจริงขึ้นมา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อาสวักขยญาณเข้าไปชำระกิเลส มันมีของจริงขึ้นมา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมอยู่ในสมัยพุทธกาลนั้นเจ้าลัทธิต่างๆ ก็ปฏิญาณตนอยู่เหมือนกันว่าเป็นศาสดา

แต่เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนออกบิณฑบาต “พุทธกิจ ๕” เช้าออกบิณฑบาต ยังมีเวลาอยู่จะไปสนทนาธรรมกับเจ้าลัทธิต่างๆ เห็นไหม เวลาสนทนาธรรมกัน สิ่งที่โต้แย้งกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธสิ่งที่เขาคิด เขากระทำกันมาทั้งหมดเลย แล้วเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกเผยแผ่ จนขนาดที่ว่าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะปฏิบัติอยู่กับสัญชัย ฟังธรรมของลูกศิษย์ด้วยนะ ฟังธรรมของพระอัสสชิใช่ไหม เหตุผลมันมีไง ถ้ามีเหตุผลของจริงมันมีเหตุมีผล เวลาฟังธรรมของพระอัสสชิ

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสาวไปหาเหตุ ไปชำระกันที่เหตุ”

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ฟังธรรมอย่างนี้เป็นพระโสดาบันขึ้นมา

ถ้ามีของจริงมันก็จะมีของปลอม สิ่งที่เป็นของปลอมคือสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เข้าไม่ถึงธรรม สิ่งที่เข้าไม่ถึงธรรมมันก็มีความจอมปลอมในหัวใจ สิ่งที่จอมปลอมในหัวใจนี้ “กิเลสพาใจคด” สิ่งที่คดโกง ถ้าคดโกง มันโกงใจของมัน มันทำให้หัวใจหมดโอกาสนะ

สิ่งที่ว่าพระสารีบุตรกำลังออกประพฤติปฏิบัติ เวลาไปแสดงธรรมกับคฤหบดี เวลาแสดงธรรมว่า “สิ่งที่ว่าขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี่เป็นทุกข์ ความเป็นขันธ์ ๕ สิ่งนี้เป็นอนัตตา” ฟังแล้วละขันธ์ไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป “ทำไมคฤหัสถ์ไม่ได้ฟังธรรมอย่างนี้ ทำไมคฤหัสถ์ไม่ได้ฟังธรรมอย่างนี้” ขอร้องนะ พระสารีบุตรไปบอกกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “วันนี้ไปแสดงธรรมกับคฤหัสถ์ ละขันธ์ ๕ ทั้งหมด ตั้งแต่ชั้นนอกชั้นในถึงชั้นในสุด เป็นพระอนาคานะ พ้นออกไป”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอกเลยว่า “ทำไมสอนต่ำทราม” สิ่งที่สอน ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน หรือพระสาวกต่างๆ สอน เขาสอนให้ถึงที่สุดไง ถึงที่สุดมันไม่คดโกงไง มันไม่คด ปลายไม่คด ถ้าปลายมันคดมันจะวนกลับมา ยังต้องเกิดในวัฏฏะนี้ไง สิ่งที่เกิดในวัฏฏะนะ ในวัฏฏะนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก...

(เทปขัดข้อง)

...การเกิดเป็นชาวพุทธเราออกประพฤติเพื่อจะหาความสงบร่มเย็นของใจ เพื่อให้หัวใจมีที่พัก แล้วมันมีความสุขพอสมควร พอสมควรแก่เราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราทำสัมมาสมาธิ เราทำที่พักได้ เหมือนกับคนเดินทางมาแสนยาวไกล แล้วตากแดดตากฝนเป็นคนพเนจรมาตลอด ถ้าทำความสงบของใจขึ้นมา เรามีบ้านมีเรือนของเรา ที่อาศัย ถ้ามีบ้านเรือนที่อาศัยนี้อยู่ในพระไตรปิฎก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ผู้ทำใจสงบ ทำสมาธิขึ้นมาได้...

(เทปขัดข้อง)

...สิ่งที่ฝังใจมาก คนเรา สิ่งที่ออกไปข้างนอกมันจะมีความเร่าร้อนทั้งหมดเลย แล้วเวลาคนเราถึงที่สุด ถ้าประพฤติปฏิบัติได้เท่านี้นะ ถ้าดับขันธ์นี่เกิดบนพรหม บนพรหมเพราะอะไร สิ่งนี้มันจะฝังใจ ถ้าฝังใจ คนเราสิ่งที่จะออกจากบ้าน เราต้องหาเสบียง นี่เหมือนกัน ถ้าจิตมันจะออกจากร่างของมัน...

(เทปขัดข้อง)

...มันจะหาสิ่งที่ว่าดีที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็คือสิ่งที่เป็นปัจจัตตังที่สัมผัส จิตสัมผัสเคยสัมผัสกับความสงบอย่างนี้ มันจะย้อนกลับมาที่จิตที่ความสงบอย่างนี้ ออกไปพร้อมกับความสงบอย่างนี้ นี่เกิดเป็นพรหม สิ่งที่เกิดเป็นพรหมมันก็อาศัยความร่มเย็นเป็นสุข นี่วัฏฏะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว น่ากลัวเพราะมันก็เวียนตายเวียนเกิดในสภาวะแบบนี้มาตลอดนะ ถ้าวัฏฏะเวียนตายเวียนเกิดมาจากไหน เราเชื่อใครล่ะ

เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ จิตต้องเป็นอย่างนี้โดยสัจจะความจริงของมัน สิ่งที่เป็นวัฏฏะนี้เป็นน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวเราถึงต้องซื่อสัตย์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราซื่อสัตย์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ไว้...

(เทปขัดข้อง)

“ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา”

(เทปขัดข้อง)

...มันก็ยิ่งห่างจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห่างออกไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อความร่มเย็นของใจ ประพฤติปฏิบัติแล้วทำไมมันได้บาปอกุศลล่ะ สิ่งที่เป็นบาปอกุศลเพราะอะไร ดูสิ พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ เกิดมาพราหมณ์ทายว่า “จะต้องฆ่าพ่อ”

(เทปขัดข้อง)

...สิ่งที่บอกให้ฆ่าพ่อ ใจคนมันมีคุณธรรมอยู่เหมือนกัน มีความละล้าละลังนะ พระเทวทัตก็อ้างเหตุผลไง พระเจ้าอชาตศัตรูบอกว่า “พ่อต้องให้สมบัติอยู่แล้ว เพราะพ่อต้องให้ลูก”

“ถ้าพ่อจะให้ลูก แล้วพ่อเมื่อไรจะตาย แล้วเราอาจจะตายก่อนก็ได้”

นี่ธรรมของพระเทวทัตนะ

“ลูกตายก่อนพ่อก็ได้ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก...”

(เทปขัดข้อง)

...“ถ้าเราตายก่อนเราได้สมบัติอันนั้นไหม”

พูดโอ้โลมปฎิโลมแล้วทำตามนั้น เวลานี้ปากแสดงธรรม...

(เทปขัดข้อง)

...ต้องการอำนาจ ต้องการกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งนี้ทำลายตน...

...ถ้าทำลายตน การประพฤติปฏิบัติ ในชีวิตนี้เวลามาศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...

(เทปขัดข้อง)

...เพราะเชื่อศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากนะ เพราะกลับมาหาของจริงได้ไง จะศรัทธามาก ถึงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่มีใครกล้าบอกพระเจ้าอชาตศัตรู ถ้าบอกต้องสลบแน่นอนเลย เพราะมีความศรัทธามาก จนขนาดที่ว่ามหาอำมาตย์ต้อง...

(เทปขัดข้อง)

...มันคด มันงอ มันทำลายตัวเอง ถ้ามันทำลายตัวเองอย่างนี้ แล้วเรายังจะไปเชื่อฟังสิ่งนั้น สิ่งที่ภายนอกที่ขนาดว่ามือถือคัมภีร์ ปากแสดงธรรม สิ่งที่มือถือคัมภีร์ปากแสดงธรรมก็ยังทำลายตัวเองนะ

แต่ถ้าเป็นธรรม ดูสิ ดูอย่าง สิ่งที่เป็นพระโสดาบัน พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แต่เพราะความคุ้นเคยไง เพราะพระอานนท์เวลาตากผ้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหยียบ เพราะความคุ้นเคย เพราะอุปัฏฐาก สิ่งนี้เป็นความพลั้งเผลอได้ แต่ขณะที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน...

(เทปขัดข้อง)

...พระอานนท์นึกไม่ได้ไง นึกไม่ได้ด้วยเพราะความรักความศรัทธา แล้วมารดลใจด้วย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว “สังคายนา” ภิกษุปรับอาบัติพระอานนท์ ปรับอาบัติทุกกฎพระอานนท์

เพราะเหยียบผ้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑

ไม่อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ให้อยู่อีกกัป ๑

พระอานนท์บอกว่า “ไม่มีอาบัติเพราะไม่มีเจตนา แต่เพราะในเมื่อในสังคม ในสังฆะ สงฆ์ปรับอาบัติก็ยอมปลงอาบัติ” ยอมปลงอาบัติให้กับสงฆ์ สิ่งนี้ทำมา สิ่งที่ทำความผิดของพระโสดาบัน พระโสดาบันจะไม่ทำความผิด จะไม่ทำความผิดโดยเจตนาเลย แต่ความผิดโดยความพลั้งเผลอ

พระอานนท์เหยียบผ้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑

พระอานนท์ไม่ได้อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ๑

สิ่งนี้เป็นความคุ้นเคย เป็นความจริง จิตถ้าเป็นพระโสดาบันจะไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศล สิ่งที่เป็นอกุศล ดูสิ ดูอย่างร่างกายของเรา ร่างกายของเรา เราจะทำให้ร่างกายของเราเป็นแผลไหม เราจะรักษาร่างกายของเราให้เป็นปกติ ให้มีความสะดวกสบายของเรา แต่ถ้าร่างกายเราเป็นแผล ถ้าเป็นปาบอกุศลนะ เหมือนกับคนเสียสติ เห็นคนเสียสติไหม เขาทำลายตัวเขาเอง เขาจิกตัวเขาเอง เขาทำลายตัวเขาเอง เขาไม่มีสติ เขาเป็นคนขาดสติไง แต่ถ้าเราเป็นคนปกติเราจะทำอย่างนั้นได้ไหม

นี่เหมือนกัน จิตที่เป็นบาปอกุศลมันทำลายตัวมันเอง ถ้ามันทำลายตัวมันเอง มันสิ่งที่ทำลายตัวมันเอง มันต้องมีความรู้สึกไหม คนเสียสติเวลาเขาทำลายตัวเขาเอง เขาไม่รู้ว่าเขาทำลายตัวเขาเองนะ เจ็บปวดขนาดไหน มันก็พอใจทำ แผลจะมีเลือดออกขนาดไหนเขาก็พอใจของเขา ถ้าจิตมันเป็นอกุศล มันจะออกไปสภาวะแบบนั้น

การแสดงธรรมของผู้ที่ถือคัมภีร์ อาจแสดงธรรมเข้าใจว่าเป็นธรรมไง แบบพระเทวทัตบอกอชาตศัตรูให้ฆ่าพ่อ สิ่งนี้เป็นธรรมหรือ สิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม การฆ่าพ่อ ขนาดอชาตศัตรูเขาก็มีจิตสำนึกของเขานะ ถ้าเกิดว่า “พ่อต้องให้อยู่แล้ว แล้วพ่อแก่กว่า แล้วพ่อต้องตายไปแล้วต้องให้ลูก” พระเทวทัตยังโต้แย้งว่า “แล้วเกิดถ้าลูกตายก่อนล่ะ สิ่งที่ลูกตายก่อน แล้วถ้าลูกตายก่อนเราไม่ได้รับสมบัติ เราตายโดยไม่ได้เป็นกษัตริย์” นี่เอามาโต้แย้ง เอามาหลอก

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่การดำรงธรรมและวินัย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราประพฤติปฏิบัติกัน เราจะต้องรักษาธรรมและวินัย ถ้าเราซื่อสัตย์กับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยจะเป็นปฏิปทาเครื่องดำเนิน ถ้ามีธรรมและวินัยเป็นปฏิปทาเครื่องดำเนินไป เราจะก้าวถึงที่สุด

แล้วถ้าครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งที่ในปัจจุบันนี้ เวลาองค์หลวงปู่มั่นออกประพฤติปฏิบัติ นี่สิ่งความจริงของจริงมันก็ไม่มี สิ่งที่ของจริงไม่มีเพราะอะไร เพราะส่งต่อๆ กันมาโดยทฤษฎี การจำมา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นแก่น เป็นเปลือก เป็นกระพี้ เป็นชั้นเป็นตอนเข้ามานะ องค์หลวงปู่มั่นพยายามค้นคว้าขึ้นมาถึงเป็นความจริงไง สิ่งที่เป็นความจริง กรรมฐานเราถึงมีเกียรติคุณในสังคม ในเมื่อกรรมฐานเรามีเกียรติคุณในสังคม ของปลอมมันก็มีไง สิ่งที่ของปลอมมี

เวลาปฏิปทาเครื่องดำเนินชี้ไปให้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาได้สร้างบุญกุศล สิ่งที่สร้างบุญกุศล การสละทาน “ทาน ศีล ภาวนา” ถ้าใครมีหลักของทาน ทานคืออะไร? ทานคือการสละความตระหนี่ถี่เหนียว สิ่งที่ตระหนี่ถี่เหนี่ยวนี่เราสละออกไปๆ ให้จิตเรามันเจือจานออกไป ทาน ศีล ภาวนา สิ่งที่ทาน ศีล ภาวนา ทำให้จิตมันตั้งมั่น การประพฤติปฏิบัติมันจะมีโอกาสไง

ที่ว่าเราเป็นชาวพุทธๆ เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติ เราจะหาความสุขของเราขึ้นมา เราพร้อมหรือไม่? ถ้าเราไม่พร้อม สิ่งที่ว่าเป็นทาน มันฝึกฝนมา มันออกสละมา มันสละความตระหนี่ถี่เหนี่ยวมา สิ่งที่สละความตระหนี่ถี่เหนียวขึ้นมา มันจะรู้จักใจ มันพอใจ มันมีความอบอุ่นของมันขึ้นมา มันจะทำสมาธิ มันจะมีศีลของมันขึ้นมา แล้วถ้าทำสมาธิความสงบของใจก็จะง่ายขึ้นมา สิ่งนี้กรรมฐาน ครูบาอาจารย์เราชี้นำสิ่งนี้ไง

“ทาน ศีล ภาวนา” สิ่งที่ทาน ศีล ภาวนา เป็นปฏิปทาเครื่องดำเนิน แล้วของปลอมว่าอย่างไรล่ะ? ของปลอมเวลาพูด มือถือคัมภีร์ ปากแสดงธรรม โต้แย้งไปตลอด เห็นไหม ทางหนึ่งจะไปสวรรค์ไปนิพพาน ทางหนึ่งจะไปนรกอเวจี ครูบาอาจารย์บอกจะขุดนรกอเวจีลงไปอีก สิ่งที่ขุดนรกอเวจีเพราะอะไรล่ะ เพราะสิ่งที่ว่าเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรม เราทำลายสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ๑ สิ่งที่ครูบาอาจารย์เราเป็นธรรม ธรรมและวินัย จะปกป้องธรรมและวินัย เพื่อให้ธรรมและวินัยนี้เป็นปฏิปทาเครื่องดำเนินของบริษัท ๔ เป็นเครื่องดำเนินต่อไป แต่การทำลายอย่างนี้ ทำลายสิ่งที่เครื่องดำเนิน ทำลายทั้งธรรมด้วย ทำลายทั้งธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย สิ่งนี้จะทำให้ตกนรกอเวจีไง

สิ่งที่ทำให้ตกนรกอเวจีเพราะอะไรล่ะ เพราะกิเลสมันคดงอไง “กิเลสพาใจนี้คด” มันโกงตัวมันเอง มันทำลายตัวเอง สิ่งที่ทำลายตัวเอง เพราะสิ่งที่ว่าทำลายร่างกาย นี่คนเสียสติ คนใบ้บ้าเขาทำลายตัวเขาเองเพราะเขาขาดสติ คนเป็นปกติเขาไม่ทำลายตัวเขาเอง ความคิดที่เป็นอกุศลมันจะสะเทือนหัวใจ สิ่งที่สะเทือนหัวใจมันเหมือนกับทำลายตัวเอง ถ้าทำลายตัวเองนี่เรากล้าทำไหม ถ้าเกิดแผลเกิดสิ่งที่เจ็บปวดขึ้นมาในร่างกายเราต้องสะเทือนใจใช่ไหม ถ้าเราไม่เกิดสิ่งที่กระทบ เราเหยียบหนาม เราโดนหนามตำ เรายังมีความเจ็บในฝ่าเท้าเราเลย การเดินของเรานี่จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ สิ่งนี้มันก็เตือนเราอยู่แล้ว

นี่เหมือนกันในความคิดที่บาปอกุศลมันก็เหมือนบาดแผล บาดแผลของหัวใจไง ถ้าบาดแผลของหัวใจ ถ้ามันมีเจตนา มันต้องตั้งใจทำสภาวะแบบนั้น ถ้าตั้งใจทำสภาวะแบบนั้น มันต้องรู้ สติต้องพร้อมขึ้นมาสิ สิ่งที่สติพร้อมขึ้นมาจากความรู้สึกอันนี้ไง ถ้าความรู้สึกอันนี้มันก็สะเทือนใจ แต่ถ้ามันเป็นคนบ้าไม่มีสติไม่มีสตัง สิ่งที่คิดกระทำขนาดไหนมันก็ทำลายได้หมด เพราะมันเป็นคนเสียสติ มันทำลายตัวมันเองแล้วว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ นี่ถ้ากิเลสพาใจคด คดขนาดที่ทำลายตัวเอง โดยไม่เข้าใจว่าทำลายตัวเองเลย สิ่งที่ไม่ทำลายตัวเองเพราะไม่มีสติ เพราะไม่มีธรรมในหัวใจ

ถ้ามีธรรมในหัวใจ จะทำความสงบอย่างไร ถ้าเราประพฤติปฏิบัติกันในปัจจุบันนี้ เราจะทำความสงบของใจ ถ้าเราทำความสงบของใจ สติพร้อม ถ้ามีสติ เราควบคุมใจของเราเข้ามา เราควบคุมนะ ควบคุมใจ สิ่งที่ฟุ้งซ่านออกไปนี่เหมือนคนบ้า คนบ้ามันออกไปทำอะไรต่างๆ โดยขาดสติ เวลาสิ่งที่เวลามันฟุ้งซ่าน มันก็ฟุ้งซ่านออกไปธรรมชาติของมัน มันเป็นปกติของคน ปกติของสิ่งที่มีชีวิตมันต้องเคลื่อนไหวไปธรรมชาติของมัน

ขันธ์ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มันมีธรรมชาติของมัน มันฟุ้งซ่านไปธรรมชาติของมัน แล้วถ้าเราไปส่งเสริมมัน เราไปคิดสภาวะแบบนั้น เหมือนคนบ้า ถ้าตั้งสติขึ้นมาล่ะ เราตั้งสติของเราขึ้นมาเพื่อจะให้มันสงบตัวเข้ามาเหมือนคนปกติไง ถ้าจิตสงบเข้ามาเป็นความปกติของมัน เป็นความปกติของใจดวงนั้น ทำความสงบเข้ามา ตั้งสติให้ได้ ถ้าเป็นสัมมาทั้งหมด สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทั้งหมด จิตมันสงบเข้ามา สิ่งที่สงบเข้ามา แล้วถ้าเรามีครูมีอาจารย์ ยกขึ้นวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนา วิปัสสนาในสิ่งใดล่ะ? วิปัสสนาในขันธ์ ๕ “ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕”

สิ่งที่เป็นธาตุ ๔ ดูร่างกาย ร่างกายเพราะเกิดมาตั้งแต่ตกฟากมา มีร่างกายแล้วหัวใจล่ะ? หัวใจก็อยู่กับเรา ตั้งแต่เป็นเด็กอ่อนขึ้นมาก็ไม่เข้าใจ อาศัยการเลี้ยงดูของมารดา อาศัยการเลี้ยงดูของแม่ แม่ฟูมฟักมาจนโตขึ้นมา จนมีสติเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา มาจากไหนล่ะ? มาจากแม่ที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาไง สิ่งที่แม่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา แล้วมีศรัทธา มีความเชื่อในพุทธศาสนา ออกประพฤติปฏิบัติ จนถึงกับออกบวชเป็นพระเป็นสงฆ์ ถ้าออกบวชเป็นพระเป็นสงฆ์เป็นศากยบุตรด้วย ศากยบุตรพุทธชิโนรสเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่า ถ้าเราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเชื่อฟังไง เชื่อฟังธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่หัวใจมันพัฒนามาอย่างนี้ ถ้าหัวใจมันพัฒนามาอย่างนี้มันจะมีศรัทธา ถ้ามีศรัทธา ในกาลามสูตรบอกว่า ไม่ให้เชื่อแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อเพราะความเชื่อ สิ่งที่เป็นความเชื่ออันนี้มันเป็นความเชื่อเรื่องมรรคผล แต่ถ้าเป็นความเชื่อ เชื่อศรัทธาความเชื่อของเรา เราเปิดไง เปิดสิ่งนี้แล้วพิสูจน์กัน พิสูจน์ว่า ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าเราวิปัสสนาได้ไหม

ถ้าเราวิปัสสนาไม่ได้ สิ่งที่วิปัสสนาไม่ได้ เพราะอะไร เพราะกิเลสไง “กิเลสมันพาใจคด” คดเพราะว่ามันสร้างภาพของมัน มันสร้างภาพจินตนาการเห็นนิมิต เห็นต่างๆ มันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม พอสิ่งที่เป็นธรรมมันก็ออกนอกลู่นอกทาง แล้วเตลิดเปิดเปิงไปจนถึงกับทำลายตัวเองนะ ทำลายตัวเองยังไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้ทำลายตัวเอง เหมือนว่าตัวเองนี่มีบาดแผลเต็มตัวเลย แต่กิเลสมันปิดตาว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ ทั้งๆ ที่บาดแผลในใจของตัว ทั้งๆ เต็มตัวเลย

แต่ถ้ามันความสงบของใจ ถ้ามีอำนาจวาสนามันจะยกขึ้นวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้าวิปัสสนาในกาย กายที่ว่าสิ่งที่ได้ตกฟากมา สิ่งที่ร่างกายได้เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่มานี้แหละ สิ่งนี้มันเกิดจากมันดำรงชีพมา สิ่งที่เลี้ยงชีพขึ้นมา เห็นไหม ร่างกายต่างๆ แปรสภาพมาจากเด็กจากผู้ใหญ่ แล้วก็จะแก่จะเฒ่าจะทำลายไป มันเป็นสิ่งธรรมชาติของมันอยู่ชั่วคราว

แต่เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเข้ามาเรื่องหัวใจที่อยู่ในร่างกายนี้ ถ้าอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้สร้างมาจากอะไร? สร้างร่างกายขึ้นมา สร้างมาจากกรรม กรรมที่เราสร้างสมบุญมามันมาจากกรรม “กรรม” เกิดมาจากไข่ของมารดา แน่นอน สิ่งที่แน่นอนแล้วมีชีวิตหล่อเลี้ยงขึ้นมา ถ้าเกิดจากไข่ของมารดา แล้วชีวิตแท้งในครรภ์ก็ได้ ถ้าแท้งในครรภ์เพราะว่าชีวะของเรามันไม่ต่อเนื่อง ถ้าชีวะของเราไม่ต่อเนื่อง กรรมของเรานี่เราไม่ได้เกิดตกฟากออกมา ถ้าเกิดตกฟากออกมา ชีวะคือหัวใจ มันเติบโตมาด้วยกรรม

สิ่งด้วยกรรมการกระทำ กรรมดี-กรรมชั่ว กรรมดีเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เป็นกรรมดีนะ แต่มารทำให้กิเลสพาให้ใจคด มันก็ทำให้หัวใจบิดเบือนออกไป ทั้งๆ ที่โตขึ้นมาเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งโตขึ้นมาแล้วออกประพฤติปฏิบัติ ออกบวช ออกบวชออกประพฤติปฏิบัติเป็นแบบพระอานนท์ ประพฤติปฏิบัติเข้ามาจนถึงมีสติสัมปชัญญะ จนเห็นใจของตัวเอง ขนาดที่ว่าความคุ้นเคยโดยธรรมชาติ สิ่งนี้พระที่เขามีคุณธรรมเขายังเห็นเลย สิ่งที่มีคุณธรรมเขาเห็นการกระทำของเรานะ

แต่ผู้ที่เป็นปาบอกุศล เหมือนพระเทวทัต “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคร่งครัดเหมือนเรา เราไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อขอพรว่า ให้พระอยู่โคนไม้ ให้พระไม่ฉันเนื้อสัตว์” ให้พระทำสิ่งต่างๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ตายตัวไง สิ่งที่ตายตัวคือปิดโอกาสของคนอื่น

แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดตายตัว ตั้งไว้เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะความจริง แล้วอยู่ที่จริตอยู่ที่นิสัยของสัตว์โลกที่จะมีโอกาส พยายามแหวกว่ายเข้ามา สัตว์ ดูสิสัตว์ สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์มหาศาลเลยเขาดำรงชีวิตของเขาอย่างไร การดำรงชีวิตของสัตว์ นกมันบินไปในอากาศนะ มันอยู่ในน้ำไม่ได้หรอก เพราะมันอยู่ในน้ำมันดำรงชีวิตของมันไม่ได้ สัตว์ป่ามันอยู่ในป่าของมัน สัตว์น้ำมันก็อยู่ในน้ำ

นี้ก็เหมือนกัน จริตนิสัยของสัตว์มันต่างจริตต่างนิสัย องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าจึงเปิดกว้าง พอเปิดกว้างอย่างนี้ นี้เพราะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจเรื่องของกิเลสไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากของใจมันสร้างสภาวะของมันขึ้นมา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางอริยสัจให้ผู้ที่ก้าวเดินไง แต่พระเทวทัตจะขอให้เป็นขนาดว่าเป็นช่องทางเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปฏิเสธ

แต่เวลาเขาคิดของเขา เห็นไหม นี่คนมืดบอด สิ่งที่มืดบอดก็ว่าเรานี่เคร่งครัด สิ่งที่เราเคร่งครัด เราจะนำ จะปกครองสงฆ์ เราจะนำสงฆ์ สิ่งนี้เวลาประพฤติปฏิบัติ ฝ่ายหนึ่งออกประพฤติปฏิบัติแล้วไปในทางดี ฝ่ายหนึ่งประพฤติปฏิบัติแล้วเชื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยากให้มันชักจูงไป ถ้ามันชักจูงไปมันจะออกนอกลู่นอกทาง ขนาดที่เหาะเหินเดินฟ้านี้เป็นฌานโลกีย์ เวลาปัญญาเราเกิดมันก็โลกียปัญญา แต่ถ้าเกิดโลกุตตรปัญญาล่ะ โลกุตตรปัญญาธรรมเหนือโลกนะ

เราเกิดมาในโลก เราได้ร่างกายอันนี้ โลกคือหมู่สัตว์ เราเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง เราก็เป็นโลกๆหนึ่ง จักรวาลนี้มีขึ้นมาจากหัวใจของเรา สิ่งที่เพราะเรารับรู้สิ่งต่างๆ มันถึงรับรู้ออกไปจากภายนอกทั้งหมด สิ่งต่างๆ โลกนี้มีเพราะมีเรา สิ่งที่มีเรา เราก็จะเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ นี่มันจะซ้อนกันไป วัฏฏะส่วนหนึ่ง แล้วเราก็เกิดในวัฏฏะอีกส่วนหนึ่ง แล้วเราเป็นโลกขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติเข้ามา แล้วถ้าเราปฏิบัติเป็นความถูกต้อง ความดีงาม จะย้อนกลับมาเป็นสัมมา สิ่งที่สัมมา ทำความสงบของใจเข้ามา มันจะรู้ว่าความสงบของใจเข้ามา มันมีสติสัมปชัญญะทั้งหมด แล้วยกขึ้นวิปัสสนากายให้มันตามความเป็นจริง

ถ้าจิตสงบแล้วน้อมไปที่กายจะเห็นกาย เห็นกายนี้มีอำนาจวาสนา แต่ผู้ที่ไม่เห็นกายอำนาจวาสนาไม่มี เราต้องรำพึงไง สิ่งที่รำพึงขึ้นมา มันอยู่ที่ครูอาจารย์ “ธรรมและวินัย” ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเรา แล้วครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติของเราก็เป็นครูบาอาจารย์ของเราที่สิ่งที่มีชีวิตที่จะดำรงชีวิตอยู่ ที่อธิบายสิ่งที่โต้แย้งกับเราได้ตลอด

ธรรมและวินัยในตู้พระไตรปิฎกนี้เราต้องไปค้นคว้านะ เหมือนกับหลวงปู่มั่นค้นคว้าเพราะไม่มีผู้ชี้นำ แต่ของเราเพราะมีผู้ชี้นำ เห็นไหม ของจริงก็มี ของปลอมก็มี ถ้าของปลอมก็ชี้ออกไปลงนรกอเวจี ถ้าของจริงจะชี้ขึ้นสวรรค์พรหมโลก แล้วเราประพฤติปฏิบัติ มันเป็นปัจจัตตังกับใจของเรา ถ้ามันมีธรรมในหัวใจของเรา ของจริงของปลอมเราก็เข้าใจตามความจริงทั้งนั้นล่ะ สิ่งที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงเพราะจิตเราสัมผัส เราสัมผัสสิ่งนี้ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ชี้นำในทางที่ผิด เราจะรู้เลยว่าครูบาอาจารย์ชี้นำในทางที่ผิด เราก็สละออกทางนี้ เราไปหาครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง แล้วเราไปหาครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องชี้เข้ามาจากภายใน

ถ้ามีอำนาจวาสนาจะเห็นเป็นข้อกระดูก เห็นเป็นสิ่งต่างๆ สิ่งใดก็แล้วแต่ นี้คือการวิปัสสนากาย ถ้าวิปัสสนากายเป็น สิ่งนี้วิปัสสนายกขึ้นมา ยกขึ้นมาให้เห็นตามความเป็นจริง สิ่งที่ตามความเป็นจริงนะ เวลาจิตเห็นกาย เวลาเห็นกายเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันเห็นตามสภาวะอย่างนี้ ถ้ามันเห็นกายเป็นชั้นเป็นตอน

เวลามันปล่อยวาง สิ่งที่ปล่อยวาง ปล่อยวางมันเป็นการสร้างฐานของใจ วิปัสสนาเห็นกายตามความเป็นจริง แล้วเข้าพิจารณาไป มันปล่อยมา ปล่อยมาขนาดไหน มันมีความสุข มันมีความเวิ้งว้างถ้ามันหลักเกณฑ์นะ แต่ถ้ามันปล่อยโดยที่ว่าเราวิปัสสนาแล้วมันปล่อยมา มันก็มีความสุขพอสมควร สิ่งที่มีความสุขพอสมควร เราต้องกลับมาที่สัมมาสมาธิไง ที่เราหาความสงบของใจกันอยู่นี้ ถ้าเราหาความสงบของใจ สิ่งที่ความสงบของใจเราต้องพาใจเราทำงานไง ใจถ้าเราพาใจเราทำงาน นี้เป็นธรรม เป็นมรรค

แต่ถ้ากิเลสมันพาใจทำงานนะ กิเลสมันพาใจทำงาน เริ่มต้นตั้งแต่ปุถุชน มันจะคิดของมันไปตามแต่อำนาจบาตรใหญ่ของมัน มันจะเบียดเบียนคนอื่น มันจะเอารัดเอาเปรียบ นั้นเป็นเรื่องของกิเลส แต่ถ้าเป็นธรรมมันจะเจือจาน มันจะเผื่อแผ่กัน สิ่งนี้ถ้ากิเลสพาทำงาน

แต่ถ้าจิตสงบเข้ามา เวลาเห็นกาย กิเลสมันพาทำงานล่ะ กิเลสพาทำงานวิปัสสนาไป มันไม่ไปตามความเป็นจริงไง มันอัตตกิลมถานุโยค เลยเถิด กามสุขัลลิกานุโยคมันนอนจม นอนจมอยู่กับความเห็นนั้นไง เวลากิเลสมันภาวนา แล้วมันก็ออกนอกลู่นอกทาง ถ้าสิ่งนั้นออกนอกลู่นอกทาง จิตมันกระทบสิ่งใดอารมณ์จะเกิด อารมณ์มันเกิด มันไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ก็ต้องกลับย้อนมาที่ความสงบของใจอีก ย้อนกลับมาที่ทำความสงบของใจ เพราะจิตสงบเข้ามากิเลสมันจะเบาตัวลง เบาตัวลง เราวิปัสสนาใหม่ นี่พยายามฝึก

ถ้าเป็นธรรมเป็นฝ่ายโลกุตตรธรรม วิปัสสนาไปกายจะขยายออกเป็นส่วนไป วิภาคะ อุคหนิมิต ทำให้เป็นวิภาคะ ให้มันแยกส่วนขยายส่วน สิ่งที่แยกส่วนขยายส่วนคือเห็นความขยายตัวออกไป สิ่งที่ขยายตัวออกไป มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ จิตนี้มันมีอุปาทานยึดว่าสิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้เป็นของเราทำไมมันขยายใหญ่ออกไป ขยายเล็กออกมา ทำให้มันเป็นไตรลักษณ์ สิ่งที่เป็นไตรลักษณ์นี้มันไม่อยู่ในอำนาจของเรา นี่ปัญญามันเกิดมันจะปล่อย สิ่งที่ว่ามันจะปล่อย พอไปเห็นตามความเป็นจริง มันจะร้อง อ๋อ! แล้วก็ปล่อย ปล่อย จิตก็ว่างเข้ามา ว่างเข้ามา สิ่งนี้วิปัสสนากาย

ถ้าวิปัสสนาจิตก็ได้ วิปัสสนาจิตคือวิปัสสนาความคิดไง สิ่งที่เป็นความคิดที่มารพาใช้นะ มารพาใช้มันจะทำให้เราเอารัดเอาเปรียบตัวเองนะ เอารัดเอาเปรียบตัวเอง ถ้าจิตมันสงบแล้วเราจับขันธ์ได้ จิตสงบเข้ามาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ หรือกำหนดพุทโธก็แล้วแต่ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ใจสงบเข้ามา

แล้วถ้ามันออกไปจับขันธ์ได้ จับขันธ์คือจับสัญญา จับความคิดไง ถ้าจิตออกไปจับความคิด สิ่งที่เป็นความคิด “สัญญา” สัญญามันสร้างรูปขึ้นมาก่อน สัญญามันจับ มันเทียบเคียงสิ่งใด สังขารก็ปรุงแต่งต่อไป สิ่งที่สังขารปรุงแต่ง วิญญาณรับรู้ สิ่งวิญญาณรับรู้นี้ เวทนาเกิด เป็นรูป เป็นจิต มันจะหมุนของมันออกไป นี่ถ้ามันมีหลักเกณฑ์ของมัน จับตรงนี้แล้วแยกออก

ถ้ามันแยกออก เห็นไหม สัญญาเกิดจากสิ่งใด สัญญาเกิดจากอวิชชา เกิดจากภาวะของใจ ภวาสวะเกิดจากภพของใจ เกิดเป็นสัญญาเทียบเพราะมันมีข้อมูล ออกมาจากฐานของจิต แล้วออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ พอรับรู้กระทบ กระทบเป็นสัญญา สังขารปรุงแต่ง นี่มันเห็นสภาวะตามความเป็นจริงของมันนะ ถ้าเห็นตามสภาวะตามความเป็นจริงของมัน ทั้งสติ แล้วปัญญาเห็นชอบ มันจะปล่อยเหมือนกัน สิ่งที่ปล่อย ขันธ์ สักกายทิฏฐิ ขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่กาย มันจะปล่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าปล่อยหนสองหน ปล่อยแล้วเราเข้าใจๆ ว่าธรรม นี่มารแทรกไง ถ้ามารแทรกเข้ามาเราก็ว่าสิ่งนี้ปล่อยนี้เป็นธรรม เราจะมีความนอนใจ ถ้ามีความนอนใจมันจะเสื่อมสภาพ สิ่งที่เสื่อมสภาพ พอเสื่อมสภาพไป มันออกกระทบอารมณ์มันก็มีความรู้สึก แล้วถ้าถามครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ครูบาอาจารย์จะบอกต้องกลับมา ต้องพยายามทำความสงบของใจเข้ามา เป็นสมถกรรมฐาน สมถกรรมฐานคือฐานที่ตั้งของใจ ถ้าจิตนี้มีฐานที่ตั้งควรแก่การงาน ถ้าจิตสงบ ฐานนี้มีที่ตั้งควรแก่การงาน ฐานนี้ยกขึ้นวิปัสสนาในกาย ในจิต โดยธรรมชาติของมัน เหมือนกับอริยสัจอย่างเดิม

สิ่งที่วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ ถ้าเราเคยผิดพลาดมา สิ่งนี้จะเตือนใจว่า เราเคยทำได้ขนาดนี้ เราลงทุนลงแรงมาขนาดนี้ อำนาจวาสนาของเราอย่างนี้ เพราะเราเป็นบุคคลที่ ๑ บุคคลที่ ๒ โสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผลมันจะเกิดขึ้นมากับใจดวงนี้ไง ถ้าเราวิปัสสนาขึ้นมาอย่างนี้แล้วมันปล่อย อำนาจวาสนาจะปล่อย ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา วิปัสสนาไปมันต้องล้มลุกคลุกคลาน

สิ่งที่ล้มลุกคลุกคลานนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกค้นคว้ากับเจ้าลัทธิต่างๆ ตั้ง ๖ ปี สิ่งที่เป็นอัตตกิลมถานุโยค สิ่งที่เจ้าลัทธิต่างๆ เขาประพฤติปฏิบัติอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปทดสอบกับเขามาทั้งนั้น สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังล้มลุกคลุกคลานมา ๖ ปี แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย เป็นพระโพธิสัตว์ บุญญาธิการมหาศาล ยังออกค้นคว้ากับคนอื่นมา เพราะสิ่งนี้ยังไม่มี

สิ่งที่มีในปัจจุบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาวางธรรมและวินัยไว้ สิ่งที่วางธรรมวินัยไว้ให้เราได้ก้าวเดิน เราเป็นศากยบุตร เราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้มี มีปฏิปทาเครื่องดำเนินที่ชี้นำอยู่แล้วไง เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังล้มลุกคลุกคลาน ถ้าเราล้มลุกคลุกคลาน แล้วเรามันมีความเหนื่อยอ่อน ท้อถอยน้อยเนื้อต่ำใจ นี่มันต้องมีที่พึ่งไง ที่พึ่งกำลังใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบุกบั่นขนาดนี้ แล้วครูบาอาจารย์ของเราต้องบุกบั่นขนาดที่ว่าอดอาหาร อดนอนผ่อนอาหารขนาดไหน ต่อสู้กับกิเลสของตัว ต่อสู้กับจิตใจของตัว ต่อสู้กับพญามารในหัวใจของเรา เห็นไหม มันคดมันงอ มันทำหัวใจเราให้ล้มลุกคลุกคลานไปตามอำนาจของมัน เราก็ต้องต่อสู้ด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สถิตในใจของเรา สถิตในใจของเราเพราะเราสร้างความสงบของใจเราขึ้นมาได้ เราถึงมีฐานการงานที่ขับเคลื่อนออกไป

ถ้ามีฐานการงานขับเคลื่อนออกไป นี่ออกมาจากจิต ปัญญาออกมาจิตแล้วออกไปทำลาย ออกไปวิปัสสนา ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนเราก็ฝืนก็ทน สิ่งที่ทนเพราะอะไร เพราะถ้าเราเชื่อ เชื่อผู้ที่ว่าเวลากิเลสในหัวใจของเรา มือถือคัมภีร์ ปากแสดงธรรม “เวลาธรรมมันเกิดต้องเป็นอย่างนั้น” เราเชื่อนะ “สิ่งนี้เป็นธรรม ปล่อยแล้ว สิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้ถึงที่สุดแล้ว” นี่ถ้าเราเชื่อเราก็จะต้องท้อถอย จิตนี้มันยังไม่ถึงอกุปปธรรม ถ้าถึงอกุปปธรรม สิ่งนี้ประกาศในใจของตัวนะ

พระอานนท์ นางวิสาขา ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ ใครเป็นคนบอกว่าเป็นพระโสดาบันล่ะ? สิ่งที่เป็นพระโสดาบัน สิ่งนี้เป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิต สิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตเวลาที่ว่ากิเลสมันหลอก มันคด มันโกง เวลาเราประพฤติปฏิบัติไป มันสถาปนานะ นี่เป็นโสดาบัน นี่เป็นสกิทา นี่เป็นอนาคา นี่ถึงที่สุดของธรรม...ตัวเป็นแผลทั้งนั้นเลย สิ่งที่ตัวเป็นแผล เพราะสิ่งนี้ไม่เป็นความจริง เพราะสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เวลาประพฤติออกมาเป็นพฤติกรรม มันถึงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมไง

“สิ่งที่เป็นธรรม” สิ่งที่แสดงออกมามันจะเป็นธรรมตลอดไปนะ

ธรรมจะไม่ทำลายตัวเอง จะทำลายตัวเองให้เป็นแผล สิ่งที่เป็นแผล เป็นบาดแผลในหัวใจ มันสะเทือนใจไง สิ่งที่สะเทือนใจแล้วออกไปถึงความประพฤติ ออกไปถึงการกระทำ ออกมาจากภายนอกนี่มันหยาบมากนะ มันหยาบมาก มันแสดงให้เห็นว่าใจดวงนี้ไม่เป็นธรรม

ถ้าใจดวงนี้เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมมันเป็นอกุปปธรรมไง สิ่งที่เป็นอกุปปธรรมนี่วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำไป วิปัสสนากายจับขึ้นมาตั้ง ถ้าเราวิปัสสนากาย จิตสงบจับกายขึ้นมาตั้ง ตั้งแล้วให้มันแปรสภาพให้เราเห็น สิ่งที่แปรสภาพให้มันเห็น ถ้าสิ่งที่เวลาเราวิปัสสนาไป มันปล่อยบางครั้งบางคราว

แล้วอุบายวิธีการ แล้วเรายกกายขึ้นมาถ้าไม่เห็นภาพกาย แต่มีความรู้สึก จิตมันสงบวิปัสสนาได้ ก็เทียบกายเป็นปัญญาไง สิ่งที่เป็นปัญญา เป็นสิ่งที่ว่าร่างกายประกอบไปด้วยสิ่งใด มันดำรงชีวิตได้อย่างไร มันอาศัยสิ่งใด นี้ก็วิปัสสนาได้ นี่ถ้าวิปัสสนาไป ความเข้าใจ จิตมันมีปัญญาแล้วความเข้าใจจริง มันปลดเปลื้องอุปาทาน สิ่งที่อุปาทานความยึดตั้งอยู่ในจิตใต้สำนึก สิ่งนี้เข้าไปปลดเปลื้องอุปาทาน มันจะปล่อย สิ่งนี้ปล่อยแล้วปล่อยเล่า นี่ครูบาอาจารย์สำคัญตรงนี้ สำคัญชี้นำตรงนี้ จนถึงที่สุดจะไม่มีใครพยากรณ์ให้ได้ มันเป็นสันทิฏฐิโกกับใจดวงนั้น

ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เห็นไหม กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย เวทนาไม่มีในเรา เราไม่มีในเวทนา มันจะปล่อยหมด สิ่งที่ปล่อยหมดนี้เป็นอกุปปธรรม สิ่งที่เป็นอกุปปธรรม สิ่งนี้จะแสดงความเป็นทุจริตไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่เป็นความทุจริต สติสัมปัญชัญญะพร้อม ดูอย่างพระอานนท์สิ ไม่มีเจตนาทำไปด้วยความคุ้นชิน ความคุ้นเคยสิ่งนี้ทำได้ ความผิดพลาดของพระโสดาบันคือความผิดพลาดที่ว่า ไม่มีเจตนาไง สิ่งที่ไม่มีเจตนาความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าจะทำเป็นสิ่งที่ว่าทำเป็นบาป ทำให้เป็นอกุศลถึงตกอเวจีมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วถ้าเกิดสติมันพร้อม พร้อมขนาดไหน นี่ขันธ์อย่างหยาบไง

ถ้าขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด มันก็วิปัสสนาซ้อนขึ้นไปๆ ซ้อนขึ้นไปเป็นชั้น จิต มรรค ๔ ผล ๔ กิเลสอย่างหยาบ หลานของกิเลสตายไป สิ่งที่สักกายทิฏฐิความเห็นผิดนี่หลานของกิเลส แล้วลูกของกิเลสล่ะ ถ้าลูกของกิเลสมันก็ยกขึ้นซ้อนขึ้นไปๆ ถ้าจิตมันสงบ จิตมันมีกำลัง จิตที่เป็นพระโสดาบันนี้จิตนี่ว่างอยู่เลยโดยธรรมชาติ ว่างอยู่ส่วนหนึ่งเพราะว่าเป็นอกุปปธรรม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ จิตส่วนจิต ขันธ์ส่วนขันธ์ มันเป็นความจริง ธรรมชาติของมัน

สิ่งที่เป็นตามความเป็นจริงธรรมชาติของมัน มันกระทบสิ่งใดสติมันพร้อม สิ่งที่สติมันพร้อม มันจะรวมตัวออกไปเป็นอกุศลไม่ได้ นี่ความว่างจิตของในขั้นพระโสดาบันมันเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เป็นอย่างนี้ ถ้าอะไรกระทบ สติมันพร้อม มันปล่อยได้ทั้งหมดล่ะ สิ่งที่ปล่อยได้ทั้งหมดแต่ในสกิทาคามรรค สมาธิที่มีฐานมีกำลังที่มากกว่า สิ่งที่สมาธิที่มีกำลังที่มากกว่า เราถึงก็ต้องกลับมาพุทโธ กลับมาที่ปัญญาอบรมสมาธิไง เพราะเราต้องการกำลังสมาธิที่สูงกว่า สูงกว่าความว่างอันนี้ขึ้นไป สิ่งที่สูงกว่าความว่างอันนี้ขึ้นไป ถ้ามันสงบขึ้นมาได้ เพราะเราตั้งใจจริงของเรานะ ถ้าเราตั้งใจ เรามีอำนาจวาสนา เราจะยกขึ้นของเราขึ้นมา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาหรือเป็นเจตนาตั้งใจว่าเอาเท่านี้ก็จะอยู่อย่างนี้ไป สิ่งที่อยู่อย่างนี้ไปก็เป็นความสุขของเขา

เพราะเราเป็นชาวพุทธ เราออกประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุขของใจ ความสงบของใจ เรายังมีบ้านมีเรือนเลย มีบ้านมีเรือนมันยังเวียนไปในวัฏฏะ ไม่เข้ากระแส แต่ขณะที่เราวิปัสสนาไปจนจิต จิตเห็นตามความเป็นจริง ขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ นี่มันเข้ากระแส สิ่งที่พาดกระแสแล้วนะ สิ่งที่พาดกระแสอย่างมาก ๗ ชาติ

แต่ถ้าเราวิปัสสนาต่อไปล่ะ? จะวิปัสสนาต่อไป เพราะเวลาเราเทียบเคียง การเกิดและการตายเป็นความทุกข์ไหม พระโพธิสัตว์ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังต้องเกิดต้องตาย เกิดมาเพื่อแบกโลก เป็นหัวหน้าเป็นผู้ที่ว่าพยายามชักนำให้บริษัทบริวารให้ทำคุณงามความดีไง เพื่อสร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมให้จิตนี้แก่กล้าขึ้นไปเป็นพระโพธิสัตว์

แต่พระโสดาบันต้องเกิดตาย เกิดตายอีก ๗ ชาติไง ถ้ายังต้องเกิดต้องตายอีก กับเราประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุด แล้วเราไม่ต้องไปเกิดอีก เราจะเลือกสิ่งใด เห็นไหม ถ้าเรามีวุฒิภาวะ ถ้าเรามีปัญญาอย่างนี้ มันจะย้อนกลับเข้ามา ขอเวลาให้ประพฤติปฏิบัติเถิด ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราเห็นตามความเป็นจริง ขณะที่จิตมันรวมตัว สัมปยุตเข้ามานี่มันปล่อยวาง มันมีความสุขขนาดไหน ความสุขอย่างนี้มันเป็นความสุขที่ให้เราเห็นสักกายะ คือให้เห็นกายตามความเป็นจริงอย่างนี้ มันปล่อยวางได้ขนาดนี้

แล้วความสุขที่มีมากกว่านี้ล่ะ? มันจะมีกำลังใจ แล้วมันพยายามทำความสงบเข้ามา ถึงกำหนดพุทโธก็ได้ เป็นปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ย้อนกลับเข้าไป ย้อนกลับเข้าไป นี่ทวนกระแสเข้าไปหาหัวใจไง จะไปทำลายขันธ์อย่างกลาง ถ้าขันธ์อย่างกลาง วิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนกัน วิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม นี่เวไนยสัตว์ ถ้าเป็นขิปปาภิญญาแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิปัสสนาไปมันปล่อยหมด มันขาดถึงอวิชชาเลย

แต่เวไนยสัตว์ กึ่งพุทธกาลที่เราสร้างสมบุญญาธิการมาระดับนี้ ถ้าเราพยายามค้นคว้า พยายามประพฤติปฏิบัติของเราไปมันจะเป็นขั้นตอนเข้าไป สิ่งที่เป็นขั้นตอน ขิปปาภิญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พาหิยะ ก็เห็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคาเหมือนกัน เพราะท่านผ่านขึ้นไป เห็นเป็นชั้นเป็นตอนเหมือนกัน แต่เพราะอำนาจวาสนา

แต่ถ้าเป็นของเรา เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันผ่านสักกายทิฏฐิมันก็เห็นเท่านั้น แล้วสิ่งที่ปิดบังล่ะ นี่ถ้ากิเลสยังมีในหัวใจ มันก็จะทำให้สิ่งที่ว่าความทุกข์เบียดเบียนใจไง ความทุกข์อกุศล สิ่งที่เป็นละเอียดมันก็ยังเผาลนหัวใจ การเผาลนนั้น เผาลนหัวใจของเรา แต่ในความทำความผิดพลาดออกไปข้างนอก สิ่งนี้มันทำไม่ได้ แต่ความเผารนของเรา เรารู้ของเรา เราเกิดของเรา นี่คนมีบุญเกิด คนมีบุญจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์

คนมีบาปอกุศลเกิด เห็นไหม ขณะที่ในพระไตรปิฎก ขอทาน คนทุกข์คนยาก เวลาเกิดลูกขึ้นมา ขณะท้องลูกออกมานี่ไปขอทานจะไม่ได้กินเลย ขณะที่ว่าลูกคลอดแล้ว ขณะไปขอทานเขาเอาลูกไปด้วย ก็จะไม่ได้เลย ถึงต้องเอาลูกวางไว้ ไปขอทานก่อนแล้วค่อยเอามาให้ลูก นี่เวลาบาปอกุศลพาเกิด ทุกข์ขนาดนั้นนะ ตัวเองก็ทุกข์ แล้วยังบาปอกุศลของเราไปถึงสายกรรมไปถึงพ่อถึงแม่ ให้พ่อแม่ก็เป็นทุกข์เป็นบาปอกุศลไปกับเรา เห็นไหม สิ่งนี้มันพาเกิดพาตาย แต่ถ้ามันเป็นบุญกุศลพาเกิด มันบุญกุศล บุญกุศล คนมีบุญพาเกิด แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติระดับนี้ เราจะไม่มีบุญมาจากไหน

เพราะสิ่งที่การเชื่อในศรัทธาในธรรมนะ เชื่อและศรัทธาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาอย่างนี้หาได้ยากมาก แล้วศรัทธาที่จะออกประพฤติปฏิบัติ ในการออกประพฤติปฏิบัติก็ประพฤติปฏิบัติแบบโลก “แบบโลกต้องมีปัญญาไง มีปัญญา ถ้าปฏิบัติแบบพระกรรมฐานเรานี้ไม่มีปัญญา สิ่งที่ไม่มีปัญญาทำไปมันยังไม่เป็นวิปัสสนา”

สิ่งที่ไม่มีปัญญาแต่มันเกิดตามสัจจะความจริง มันเกิดจากสัจจะความจริงเพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเชื่อธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราประพฤติปฏิบัติตามสัจจะความจริง มันเกิดขึ้นโดยสัจจะ โดยความจริงของมัน มันเป็นอริยสัจ

สิ่งที่เป็นอริยสัจ มันเป็นสันทิฏฐิโก เป็นสันทิฏฐิโกคือมันเข้าไปทำลายกิเลสในหัวใจ มันปล่อยวางตามความเป็นจริงนะ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติโดยปัญญาของเราที่เราต้องศึกษา เรามีปัญญาของเรามาก สิ่งที่เป็นปัญญานั้นมันเป็นวิปัสสนา เป็นโลกียปัญญาทั้งนั้นเลย สิ่งที่เป็นโลกียปัญญาเพราะเราต้องประพฤติปฏิบัติตามแต่กรอบที่เราศึกษามา สิ่งที่กรอบศึกษามาอย่างนี้ เราต้องประพฤติตามกรอบนี้ ถ้าออกจากกรอบนี้ไปมันจะเป็นความผิด นี่ปากคาบคัมภีร์

“มือถือคัมภีร์ ปากแสดงธรรม” ปากคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากหัวใจของเราไง มันหลอกตัวเอง มันคดงอ “กิเลสพาใจคด” คดขนาดที่ว่าศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังให้กิเลสมันพาบิดเบือนให้คดงออยู่อย่างนั้น แต่ในการประพฤติปฏิบัติของกรรมฐานเรา สัจจะเป็นสันทิฏฐิโก ให้มันสัมผัส จิตสงบก็รู้ว่าจิตสงบ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน สิ่งที่ฟุ้งซ่านก็พยายามฝืนทน ฝืนทนเพราะเอาสัจจะความจริง ถ้ามันมีสัญญา มันมีตัณหาความทะยานอยากมา สิ่งนี้ตัณหาซ้อนตัณหา ทำให้ล้มคลุกคลาน ก็ต้องทำให้จิตนี้ประสบกับสิ่งที่เป็นความเจ็บปวด สิ่งที่ทำให้ล้มลุกคลุกคลานนี้

ฝึกสอนใจให้ใจมันเข้มแข็งขึ้นมา ให้ใจมันแก่กล้าขึ้นมา ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ทำแล้วไม่ได้ความสงบขนาดไหน เพราะอะไร เพราะตัณหาความทะยานอยาก เพราะเราเชื่อกิเลส เพราะให้กิเลสพาบิดเบือนไป ถ้าเราไม่เชื่อกิเลส เราทำสัจจะความจริงขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง สัมผัสกับใจ ใจสงบ กำหนดพุทโธเข้าไป ใช้ปัญญาวนเข้าไปในปัญญา หมุนขึ้นออกมา สิ่งนี้มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงของมัน ให้มันเกิดจากสัจจะความจริงของมัน สิ่งนี้เป็นธรรม

สิ่งที่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมเกิดขึ้นมามันเป็นสันทิฏฐิโกตลอด เพราะจิตมันสัมผัส ล้มลุกคลุกคลานก็รู้ว่าล้มลุกคลุกคลาน ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ แต่ถ้ามันปล่อยวาง มันสงบก็รู้ว่ามันสงบ พอมันสงบแล้วมันก็เป็นสิ่งที่เตือนใจ ถ้ามันสงบได้เพราะเหตุใด เราวางใจสิ่งใด เราตั้งสติสิ่งใด เห็นไหม สาวไปหาเหตุ ถ้าจิตมันสงบครั้งใด มันปล่อยวางอย่างไร เราสาวไปหาเหตุ เราทำอย่างไรจิตมันสงบขนาดนี้ นี่สร้างแต่เหตุ หน้าที่เราคือสร้างเหตุ เราสร้างฐานขึ้นมา

ถึงที่สุดเวลาสมุจเฉทปหาน “ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น” ขาดทันทีเลย แต่ขณะที่เราสร้างขึ้นมานี่ พยายามกลมกล่อม พยายามเลี้ยง ทำให้มรรคญาณมันเกิด ทำให้ปัญญาญาณมันเกิด สิ่งที่ธรรมจักรมันเกิด สิ่งนี้เราสร้างได้ยากมาก หน้าที่เราถึงสร้างเหตุ เก็บเล็กผสมน้อย สิ่งที่เก็บเล็กผสมน้อย สติก็สร้างไปเรื่อย สมาธิก็ทำไปเรื่อย ปัญญาก็เกิดขึ้นเรื่อย เราเก็บเล็กผสมน้อยมา เราเคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้มา ถ้าเรายกขึ้นวิปัสสนาขั้นต่อไป เราก็ต้องอาศัยสิ่งนี้เป็นพื้นฐาน

คนที่เคยประสบการณ์ คนทำงานมีประสบการณ์ มีวิธีการ การทำงานก็ง่ายขึ้น สิ่งที่มันง่ายขึ้น เห็นไหม ถ้าสาวสิ่งนี้ไป สายบุญสายกรรม สายของขันธ์ สายของใจ มันจะสาวเข้าไปถึงได้ สาวเข้าถึงมันจะจับเห็นกาย ถ้าเห็นกาย วิปัสสนาไปมันจะปล่อย นี่มันปล่อยสภาวะของมัน มันเห็นนะ เห็นตามความเป็นจริงในปัจจุบัน สิ่งที่ปัจจุบันเห็นสภาวะแบบใดเราก็ตั้งสติไว้ มันจะลึกลับมหัศจรรย์ มันจะละเอียดไปเรื่อยๆ นี่กิเลสมันส่วนหยาบ สิ่งที่ส่วนหยาบมันก็ยึดไว้ เวลาเราจับกายได้วิปัสสนาได้มันเห็นส่วนละเอียด มันจะปล่อย มันจะเห็นส่วนละเอียดมันก็ปล่อยเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป พอจับได้อีก สิ่งที่จับได้อีกคือว่ามันกิเลสแก่นของกิเลสมันมั่นคง เราถึงต้องปล่อย ต้องทำซ้ำๆ ซากๆ เหมือนกับเราตีเหล็ก เราตีเหล็กตีหนสองหนมันไม่เป็นมีดเป็นค้อนขึ้นมาหรอก แต่ถ้าเราตีบ่อยครั้งเข้า เราแต่งมีดเข้าไปเรื่อยๆ เราตีแล้วเราขยายออกไป พอเหล็กมันเย็นขึ้นมาเราก็เข้าไปในเตาอีก เผาให้มันร้อนให้มันแดงออกมา พอเหล็กมันแดง ควรที่จะเอาออกมาตีอีก ตีอีก

พิจารณากายก็เหมือนกัน ขันธ์ที่มันปล่อยวางจริงเหมือนเราตีเหล็ก พอตีเหล็กขึ้นมา พอสมาธิหรือกำลังมันอ่อนลงก็เหมือนเหล็กมันเริ่มเย็นลง เราก็ต้องกลับเอาเข้าไปในเตาอีก เผาเพื่อให้มันร้อนออกมา นี่เหมือนกัน เราต้องกลับมาพุทโธ เราต้องกลับมาสัมมาสมาธิ กลับมาสร้างพลังงานของใจ พอใจมีกำลังเราก็กลับไปวิปัสสนาซ้ำ วิปัสสนาซ้ำเห็นกาย มันจะเป็นไปตามแต่อำนาจวาสนา เป็นไปแต่ตามจริตนิสัย มันจะเป็นสภาวะแบบใดให้เป็นสัจจะของเรา เราไม่ต้องไปเชื่อใคร สิ่งที่ไปเชื่อเป็นสมบัติของเขานะ

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาเป็นปริยัติแล้ววางไว้ แล้วเราทำให้เกิดขึ้นมาสัจจะความจริงของเรา สิ่งที่สัจจะความจริงของเรามันจะปล่อยวางขนาดไหน เราก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงที่สุดมันปล่อยนะ สิ่งที่ปล่อย นี่ขณะจิตมันเป็นสัจจะความจริง เวลามันปล่อย กายกับจิตแยกออกโดยธรรมชาติเลย สิ่งที่แยกเป็นธรรมชาติ กามราคะ-ปฎิฆะมันอ่อนลง สิ่งที่อ่อน นี่ความที่เป็นสติ มีสติหรือเสียสติ มันละเอียดขึ้นไปไง

ที่บอกว่าขณะที่ทำความผิดพลาดเหมือนกับมันทำลายตัวเอง เราเหมือนกับเราเอาสิ่งที่ของมีคมเชือดเฉือนตัวเอง มันเป็นไปได้อย่างไร นี่เวลาเราปลดเปลื้องขันธ์ออกไป สิ่งที่เขาทำได้เพราะมันมีขันธ์ มันมีมารบังตาไง สิ่งมีเป็นมารบังตาคือสังโยชน์ที่มันปิดตาอยู่ สังโยชน์มันปิด ในเมื่อปิดหัวใจ ปิดร่างกายที่ไม่ให้เห็นว่าเป็นร่างกาย เราก็คิดว่าสิ่งนี้เป็นอย่างอื่น แล้วเราก็ทำลายตัวเอง นี่คือความคิดอกุศลไง

แต่ถ้าเราวิปัสสนาไปจนมันปล่อย เห็นไหม เปิดตาของใจออกมา เปิดตาจากภายในออกมาสิ่งที่เป็นบาปอกุศลมันลอกออกเป็นชั้นเป็นตอน นี่ขันธ์อย่างกลางมันทำลายออกไป สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่จะติดกัน สิ่งที่ติดกันเพราะอะไร เพราะมันปล่อยวาง มันเวิ้งว้าง มันจะเข้าใจไง เข้าใจว่าขณะที่เราวิปัสสนาเราปล่อยวาง คำว่า “วิปัสสนาแล้วปล่อยวาง” เราจะให้ค่าว่าสิ่งนี้เป็นเหมือนกับสังโยชน์ขาด...มันไม่ขาด สิ่งที่ไม่ขาด พอมันว่าง มันลึก พอมันลึกเราว่าสิ่งนี้เป็นธรรม แล้วเราจะเอาอาการอย่างนี้มาเป็นข้อมูลของใจ

เอามารับรองว่านี่ถึงธรรม เพราะมีข้อมูลในหัวใจมารับว่าความว่างอย่างนี้เราได้ขั้น ๑ ความว่างอย่างนี้เราได้ขั้น ๒ ความว่างอย่างนี้เรียกขั้น ๓ แล้วในปัจจุบันที่มันปล่อยกายกับจิตนี้เป็นความว่างขั้นสุดท้าย นี้คือนิพพาน นี่มันก็ยังเข้ามา

เวลาคดงอ มารนี่ร้ายมาก กิเลสอย่างละเอียดมันก็ทำให้จิตนี้คดงอ คดงอว่าสิ่งที่เป็นผลแล้ว เพราะขนาดอย่างนี้มันก็ยังต้องเกิด เกิดในกามภพอยู่อย่างเดิม แต่เหลือ ๓ ชาติ สิ่งที่เหลือ ๓ ชาติมันจะหมุนออกไป ถ้าเราย้อนกลับล่ะ เราย้อนกลับขึ้นไป เห็นไหม ขันธ์อันละเอียดไง สิ่งที่เป็นกามราคะอยู่ในหัวใจ สิ่งที่วิปัสสนาไป ถ้าเราจับสิ่งนี้ได้ สิ่งนี้จะเป็นอสุภะไง เราจะต้องการเห็นอสุภะกันนัก “อสุภะ” สิ่งที่เป็นอสุภะ เป็นกามราคะนี้ สิ่งนี้รุนแรงมากนะ ขันธ์อันละเอียด สิ่งที่ปิดตา สิ่งที่มันปิดตาของเรา แล้วมันก็ทำลายตัวเอง สิ่งที่ทำลายตัวเอง

“สิ่งที่เป็นกามโอฆะ” สิ่งที่กามโอฆะ ความสงบของใจ เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน มันสงบเข้ามา มันเวิ้งว้าง มันมีสงบ สิ่งนี้มันจะเวิ้งว้างมากกว่า ฉะนั้น เวลากายกับจิตมันแยกออกจากกัน เวิ้งว้างมาก แล้วถ้าเข้าไปจับล่ะ ไปจับกามราคะได้ สิ่งนี้มันยิ่งเป็นความมหัศจรรย์ สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์ จิตถ้าไปจับสิ่งนี้ได้มันจะสะเทือนหัวใจมาก สิ่งที่สะเทือนหัวใจ เพราะเราจะจับขึ้นมาได้ ถ้าพิจารณากายซ้ำ กายนอก-กายใน-กายในกาย สิ่งที่กายในกาย วิปัสสนาไปมันถึงเป็นอสุภะไง สิ่งที่เป็นอสุภะเพราะสิ่งนี้มันเป็นกามราคะ มันจะชักจูงหัวใจเข้าไปเสพกามในตัวมันเอง

สิ่งที่เสพกามในตัวมันเองคือว่ามันพอใจไง มันอุ่นกินของมันนะ สิ่งที่อุ่นกิน แล้วพออุ่นกินอย่างนี้แล้ว ถ้าเป็นโรคมันถึงออกไปไง ออกไปแสวงหาเหยื่อจากภายนอก ในอายตนะจากกายจากการกระทบความสัมผัส แต่ถ้ามันเป็นความจริง สิ่งนี้มันทันตลอด มันปิด มันเหมือนกับมันมีสิ่งที่เป็นสวิทซ์ปิดมันได้ สิ่งที่สวิทซ์ปิดมันได้เพราะมันเกิดจากเราไง เกิดจากในหัวใจ เกิดจากสิ่งที่มันสั่งบัญชาการออกไป ถ้าเราสั่งที่บัญชาการ เราบังคับสิ่งที่บัญชาการไม่ให้มันบัญชาการออกไป มันจะออกไปแสวงหาสิ่งใดล่ะ

ถ้ามันออกไปแสวงหาสิ่งใดไม่ได้ ถึงย้อนกลับมาตรงนี้ ถ้าย้อนกลับมาตรงนี้ต้องมาทำลายกันตรงนี้ ถ้าเข้ามาทำลายตรงหัวใจ ถ้าขณะที่ยกวิปัสสนาเป็นอสุภะ ถ้าสมาธิพอ ถ้ากำลังพอ มันจะเป็นอสุภะ แล้ววิปัสสนาไปมันจะคลายตัวออก มันจะเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง สิ่งที่เป็นไปมันเป็นอย่างนี้เชียวหรือ แล้วฝึกซ้อมไป ฝึกซ้อมไป สิ่งที่ฝึกซ้อม ฝึกซ้อมเพราะมันต้องหมั่นซ้ำ ต้องพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะขนาดที่ว่ากิเลสนะ มันจะสร้างภาพของมันให้เราหลงใหลไปในอาการอย่างนี้นะ ว่าสิ่งนี้พอปล่อยวาง แล้ว แล้วขณะที่ว่ากิเลสมันสร้างข้อมูลของมันได้ มันสร้างข้อมูลว่าสิ่งนี้อาการอย่างนี้เป็นธรรม อาการอย่างนี้เป็นธรรม

มารในหัวใจมันลึกลับขนาดนี้ ลึกลับที่ว่ามันสร้างสภาวธรรม สิ่งที่เป็นของให้เราติดไปว่าสิ่งนี้เป็นธรรม แล้วเราไปยอมจำนนกับมันนะ ยอมจำนนกับมันจนกว่ามันจะล้มลุกคุลกคลาน จนกว่ามันจะมีสิ่งที่ฉงนใจ แล้วพิจารณาไป...สิ่งนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะไม่มีขณะจิต ไม่ใช่เพราะมันไม่ทำลายตัวมันเอง ไม่ใช่นี้คือการปล่อยวางนี้แบบเราทำสมถะ คือวิปัสสนาแล้วมันปล่อยวาง เหมือนปัญญาอบรมสมาธิไง ขณะที่เราวิปัสสนาอสุภะ กิเลสมันยังเข้ามาแทรก แทรกในวงปฏิบัติ

ลูกหลานของมาร ลูกของมาร นี้แม่ทัพของมาร นี้คือแม่ทัพนางตัณหา นางอรดี สิ่งที่เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง มันอยู่ตรงนี้ไง สิ่งที่เราชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงไม่ได้ สิ่งนี้มันมีอำนาจบาตรใหญ่ มันจะคุมหัวใจนี้ออกไปเบียดเบียนคนอื่น ออกไป สิ่งนี้ถ้าทำลายตรงนี้ออก วิปัสสนาซ้ำ ซ้ำคือการทำแล้วทำเล่า เพราะสิ่งที่เราพยายามปฏิบัติขึ้นมา สิ่งนั้นยังเป็นความทุกข์ ยังเป็นสิ่งที่ข้อมูลที่เราประพฤติปฏิบัติ ยังเป็นการประพฤติปฏิบัติที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แล้วสิ่งที่มันเป็นสิ่งที่มีผลเหนือกว่า มีอำนาจมากกว่า แล้วเราจะทำความอ่อนแอ มันเป็นมหาสติ-มหาปัญญาเข้าไปทำลายตัวมันเอง เห็นไหม สิ่งที่เป็นเราไง สิ่งที่กระทบกระเทือนจากภายนอกเราเห็นแล้วมันสะเทือนใจนะ สิ่งที่กระทบกระเทือนจากภายในหัวใจเราไม่เห็นตัวเราเอง เราไม่สะเทือนใจตัวเราเองเลย แต่ขณะที่วิปัสสนาไป สิ่งที่เป็นเรามันเป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นพิจารณาจิตมันเป็นกามราคะ สิ่งที่เป็นกามราคะนี่มันเป็นเรา มันเป็นเชื้อโรค มันเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจสิ่งที่เกิดตายๆ ไปกับวัฏฏะ มันเป็นสภาวะเกิดตาย มันเกิดเพราะสิ่งนี้มันบังตาไว้ไง

ถ้าเราไปเห็นสภาวะแบบนี้สิ่งที่เกิดตายๆ เกิดจากตรงนี้ไง เกิดจากจิตที่มันมีสภาวะ สิ่งที่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยึดมั่นของใจ ความผูกโกรธ ความสิ่งต่างๆ ของใจ วิปัสสนาไปโดยอสุภะมันจะปล่อยวางเข้ามา

ถ้าพิจารณาจิต สิ่งที่เป็นจิตเป็นกามราคะ กามราคะจากสิ่งภายนอกมันเป็นกามราคะ สิ่งที่เป็นกามราคะ นี่เป็นกามฉันทะ สิ่งที่กามฉันทะเพราะมันพอใจในตัวมันเอง สิ่งที่พอใจในตัวมันเอง มันก็กระทบกระเทือนกันระหว่างขันธ์กับจิตมันสัมพันธ์กัน มันสัมผัสสัมพันธ์กัน สิ่งที่มันสัมผัสสัมพันธ์กัน มันพลังงานมันเกิดตรงนี้ สิ่งที่เกิดตรงนี้มันถึงเป็นการเสพกามในหัวใจไง

สิ่งที่เสพกามในหัวใจ คือขันธ์ คือสัญญา คือปฎิฆะ แล้วก็กระทบกระเทือนกับพลังงานตัวนั้น สิ่งที่พลังงานตัวนั้น พลังงานคือตัวอวิชชา อวิชฺชา ปจฺจยาสงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ สิ่งนี้ระหว่างจิตกับขันธ์มันกระทบกระเทือนกัน จิตกับขันธ์มันสัมผัสสัมพันธ์กัน มันถึงออกมาเป็นความพอใจ เป็นความอุ่นกินในหัวใจ นี่วิปัสสนาไปถึงที่สุดมันทำลาย มันปล่อยวาง มันทำลาย ขันธ์นี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์อันละเอียดปล่อยวางหมด ปล่อยวางหมด ครืน! ออกไป แล้วฝึกซ้อมคือซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่ซ้ำคือสิ่งที่เชื้อไข ถ้าเชื่อไขซ้ำไป นี่กิเลสมันยังอ้างอีกว่าเราได้ประพฤติปฏิบัติ ปล่อยวางจากกามราคะเข้ามาแล้ว แล้วก็ฝึกซ้อมเข้ามานี่มันก็ปล่อยวางเข้าไปอีก มันจะว่างเข้าไปอีก

ถ้าเรามีการประพฤติปฏิบัติ มันจะเป็นอุทธัจจะคือการกระทำ สิ่งที่เคลื่อนไหวคือการกระทำ งานที่ทำแสนยาก เวลามันเป็นอัตโนมัติขึ้นมามันเป็นอุทธัจจะ มันทำให้เราเพลินกับงาน มันจะออกไปข้างนอก นี่ถ้าย้อนกลับ จะย้อนกลับมันเป็นอุทธัจจะ มันไม่กล้าทำงานไง สิ่งที่ไม่กล้าทำงาน เห็นไหม ขยับไม่ได้ นี่เวลากิเลสมันหลอก หลอกอย่างนั้น

พอมันปล่อย ฝึกซ้อมจนว่างหมด นี่ย้อนกลับ ถ้ามีอำนาจวาสนาย้อนกลับเข้าไปเจอตัว อวิชฺชา ปจฺจยาสงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ สิ่งที่เป็นอวิชชาคือตัวพญามาร สิ่งที่ตัวพญามารมันคุมใจอยู่นะ สิ่งที่ความละเอียดอ่อน ละเอียดอ่อนมาก แล้วถ้าปัญญาญาณเข้าไปจับสิ่งนี้ได้ ย้อนกลับมา ย้อนกลับทั้งหมด ทวนกระแสทั้งหมด สิ่งที่ทวนกระแสเข้าไปมันจะไปทำลายสิ่งที่เป็นอวิชชา สิ่งที่ทำลายอวิชชามันจะพลิกอวิชชาคว่ำ สิ่งที่จะพลิกอวิชชาคว่ำ จะไม่เป็นปัญญาอย่างที่มาอธิบายจากสิ่งที่เป็นปัญญาญาณ สิ่งที่เป็นมหาสติ-มหาปัญญาอย่างนี้ไม่ได้เลย เพราะอะไร

เพราะมันเป็นปัญญาอย่างที่ขลุกขลิกอยู่จากภายใน สิ่งที่ขลุกขลิกจากภายใน อันนี้มันเป็นเหมือนกับญาณ เหมือนกับกระดาษซับกระดาษซึม สิ่งที่ซึมเข้าไปมันจะย้อนกลับเข้าไป คิดไม่ได้เลย ถ้าคิดเป็นอุทธัจจะ เป็นอุทธัจจะคือการกระเทือนของใจ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นสังโยชน์ ตัวมันเป็นสังโยชน์อยู่แล้ว

สิ่งที่เป็นสังโยชน์คือว่า รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สิ่งที่ตัวอวิชชาจะทำลายตัวอวิชชา มันก็เป็นสังโยชน์ตัวหนึ่ง ตัวอุทธัจจะคือการขับเคลื่อนที่เป็นปัญญาที่ว่าเป็นมหาปัญญานี้ มันก็เป็นสังโยชน์ตัวหนึ่ง ตัวมานะในตัวมันเองก็เป็นสังโยชน์ตัวหนึ่ง รูปราคะ อรูปราคะ ความว่าง กับเป็นรูป มันก็เป็นสังโยชน์ตัวหนึ่ง สังโยชน์ ๕ อันละเอียดมันอยู่ตรงนี้ สิ่งที่อยู่ตรงนี้ ถ้าเราใช้ปัญญามันเป็นอุทธัจจะ มันเป็นสังโยชน์ ตัวสังโยชน์จะไปทำลายสังโยชน์ได้อย่างไร? ตัวสังโยชน์จะไปทำลายสังโยชน์ไม่ได้

ฉะนั้น ตัวสังโยชน์ไปทำลายสังโยชน์ไม่ได้ มันถึงต้องเป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรคคืออะไร มรรคคืออรหัตมรรค สิ่งที่เป็นอรหัตมรรค เห็นไหม ความละเอียดอ่อนจากปัญญาญาณอย่างนี้ มันจะซึม มันจะเข้าไปทำลายตัวมันเอง นี่มันถึงว่าเป็นปัญญาอันละเอียดเข้าไปทำลายตัวเอง ทำลายตัวเอง ปล่อยวางเขามาทั้งหมด ปล่อยขันธ์อย่างหยาบ ปล่อยขันธ์อย่างกลาง ปล่อยขันธ์อย่างละเอียดเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามาทั้งหมด ปล่อยวางเขามาทั้งหมด แล้วก็ทำลายตัวเองอีกด้วย พอทำลายตัวเอง ตัวเองทำลายตัวเองพลิกคว่ำหมด นี่ถึงเป็นสภาวธรรมไง

ธรรมแบบนี้ ถึงเป็นธรรมที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมอย่างนี้ แล้วจิตที่เข้าไปสันทิฏฐิโก เข้าไปสัมผัสธรรมอย่างนี้ นี่ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีคุณค่า มีคุณค่าเพราะสิ่งนี้เป็นปฏิปทาเครื่องดำเนิน เป็นปฏิปทาเครื่องดำเนินให้หัวใจนี้ก้าวเดินโดยปฏิปทาเข้ามาจนถึงสภาวะราชาแห่งธรรม ราชาแห่งธรรมกับใจดวงนั้นนะ ใจดวงนั้นมีธรรมเป็นผู้ครองใจดวงนั้น แต่เดิมมีพญามาร นี่กิเลสครองใจดวงนั้น แล้วพาใจคด พาใจโกงคดออกมาให้หัวใจล้มลุกคลุกคลาน

แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติ เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางมากึ่งพุทธกาล หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราประพฤติปฏิบัติมาจนเป็นของจริงขึ้นมา ในเมื่อมีเงินจริง ของปลอมมันก็ตามมา ของปลอม ของจริงเราต้องพยายามทำธุรกิจทำมาค้าขายเพื่อให้ได้เงินจริงมาเป็นเงินสมบัติของเรา แล้วการประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องประพฤติปฏิบัติมาให้ได้ธรรมจริงออกมาในหัวใจแบบหลวงปู่มั่น แบบครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมา

แต่ผู้ที่เป็นของปลอมล่ะ ของปลอมเขาไปทำเขาไปปลอมที่ไหนก็ได้ แต่ทำให้มันเหมือน พอทำให้มันเหมือนขึ้นมา สิ่งที่เป็นของปลอมไง ถ้ามีของจริง ของปลอมจะมีมหาศาลเลย เพราะของปลอมต้องการเอาของจริงเป็นที่อ้างอิง แต่ถ้าไม่มีของจริง ของปลอมมันจะไปอ้างอิงกับอะไร

เวลาหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราถึงธรรม ธรรมในหัวใจออกมา ถึงแสดงธรรมออกมา แล้วผู้ที่เป็นของปลอมเอาธรรมนี้มาเป็นคัมภีร์ เอาธรรมนี้มาเป็นการแสดงธรรม สิ่งที่เอาธรรมคัมภีร์ “มือถือคัมภีร์ ปากแสดงธรรม” แต่มันไม่เห็นการทำลายตัวเองไง สิ่งที่ทำลายตัวเอง เพราะสิ่งที่เป็นบาปอกุศลในหัวใจ มันมีเป็นมหาศาลเลย

สมณะเป็นผู้ละบาป สมณะเป็นผู้ที่ไกลบาป แต่สมณะที่มือถือคัมภีร์ ปากแสดงธรรม มันมีแต่บาปอกุศล บาปอกุศลสร้างขึ้นมาเหมือนกับคนเสียจริตที่ไม่เห็นตัวตนแล้วทำลายตัวตนตลอด ทำลายตัวเองเป็นบาดแผลมหาศาลเลย แล้วก็ไม่เห็นตัวตน ไม่เห็นใจไง ไม่เห็นการประพฤติปฏิบัติของใจ ไม่เห็นใจเสวยอารมณ์อย่างไร

สิ่งที่ใจมันจะเสวยอารมณ์มันจะทำลายตัวมันเองไม่ได้ มันจะไม่มีแผลใจหรอก มันจะทำแต่คุณงามความดี มันจะทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับครูบาอาจารย์ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตัวเองเกิดมาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นสถิตในใจของเรา เป็นสันทิฏฐิโก มันถึงซื่อสัตย์ มันถึงเคารพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง